ดัชนีค่าก่อสร้างบ้าน Q3 2568 พุ่ง 2.8% ค่าแรง-กระเบื้องดันต้นทุนสูงขึ้น

8 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ดัชนีค่าก่อสร้างบ้าน Q3 2568 พุ่ง 2.8% ค่าแรง-กระเบื้องดันต้นทุนสูงขึ้น

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่าดัชนีล่าสุดอยู่ที่ 143.2 จุด เพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าต้นทุนการก่อสร้างยังคงเดินหน้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัวก็ตาม สาเหตุสำคัญมาจากต้นทุนแรงงานและวัสดุก่อสร้างหลายรายการที่ขยับราคาเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด

เมื่อลงลึกในรายละเอียดรายหมวดพบว่า งานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารเป็นหมวดที่มีการปรับราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปีก่อน เพิ่มขึ้นถึง 7.6% แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ส่วนงานสถาปัตยกรรมปรับเพิ่ม 3.2% ต่อปี และงานวิศวกรรมโครงสร้างขยับขึ้น 1.3% ต่อปี แสดงให้เห็นถึงต้นทุนด้านเทคนิคและงานออกแบบที่ยังคงปรับขึ้นสอดคล้องกับราคาวัสดุและค่าแรง ขณะที่งานระบบสุขาภิบาลทรงตัว แต่ยังมีสัดส่วนกว่า 26% ของต้นทุนก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีผลต่อดัชนีรวมอย่างมาก

ในฝั่งวัสดุก่อสร้าง กระเบื้องเป็นวัสดุที่ราคาขึ้นแรงที่สุด เพิ่มขึ้น 6.1% ตามมาด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปาเพิ่มขึ้น 5.6% ส่วนไม้และผลิตภัณฑ์ไม้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.1% ขณะที่เหล็กซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้างกลับมีราคาลดลง 4.8% เช่นเดียวกับสุขภัณฑ์ที่ลดลงถึง 8.3% ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนความผันผวนของตลาดวัสดุก่อสร้างที่แตกต่างกันไปในแต่ละสินค้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการจัดซื้ออย่างระมัดระวังมากขึ้น

ต้นทุนแรงงานเป็นอีกหนึ่งตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้ดัชนีราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยค่าแรงขั้นต่ำถูกปรับจาก 363 บาทต่อวัน เป็น 400 บาทต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้ผู้รับเหมาและผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยต้องปรับต้นทุนโครงการและวิธีบริหารงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภาพรวมดัชนีราคาค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในเกือบทุกหมวด สะท้อนแรงกดดันต้นทุนต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 และคาดว่าผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะยังส่งผลยาวไปถึงต้นปี 2569 ซึ่งอาจกระทบทั้งต้นทุนพัฒนาโครงการและราคาขายที่อยู่อาศัยในอนาคต

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ยังคงใช้ปี 2553 เป็นปีฐานในการคำนวณดัชนี โดยจัดเก็บข้อมูลจากหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ทำให้ตัวเลขนี้กลายเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ นักพัฒนาโครงการ และหน่วยงานรัฐต้องใช้ในการวางแผนต้นทุน การออกแบบโครงการ และกำหนดนโยบายด้านที่อยู่อาศัยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

ข้อมูลอ้างอิงจาก thansettakij.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้