11 จำนวนผู้เข้าชม |
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้กู้บ้านที่เริ่มเผชิญสภาวะ “ผ่อนไม่ไหว” ทำให้จำนวนที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้ผลักดันให้สัดส่วนทรัพย์สินในพอร์ตของกรมบังคับคดีขยายตัวมากกว่า 210% ภายในเวลาเพียงปีเดียว และเป็นอีกหนึ่งสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจของครัวเรือนไทยยังมีความเปราะบางสูง
ท่ามกลางวิกฤติ แต่อสังหาริมทรัพย์ไทยยังสะท้อนมุมโอกาส โดยตลาด “บ้านมือสอง” กลายเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุนที่เชี่ยวชาญด้านซื้อ-ปรับปรุง-ขายต่อ ด้วยราคาที่จับต้องได้ พื้นที่ใช้สอยใหญ่กว่าบ้านใหม่ และวัสดุบางประเภทที่หาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
สุรเชษฐ กองชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยอสังหาฯ ระบุว่า “บ้านมือสอง” หมายรวมถึงที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่เคยผ่านมือผู้ประกอบการมาแล้ว แม้ไม่เคยมีผู้อยู่อาศัยจริงก็ตาม และสิ่งที่ทำให้ตลาดนี้คึกคักเกิดจากแรงกดดันด้านหนี้สิน รายได้ที่ไม่โตตามค่าครองชีพ และเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ทรัพย์หลุดจำนองในมือกรมบังคับคดีพุ่งขึ้นเป็น 67,641 ยูนิต เพิ่มขึ้นกว่า 210% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ทรัพย์ NPA ของธนาคารพาณิชย์กลับลดลงเหลือเพียง 6,144 ยูนิต นั่นหมายความว่า สถาบันการเงินเลือก “ลดความเสี่ยง” ด้วยการส่งต่อทรัพย์ไปยังกรมบังคับคดีหรือขายให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) แทนการถือครองเอง
ปรากฏการณ์นี้กำลังสร้างคลื่นความสนใจจากนักลงทุน เพราะทรัพย์จากกรมบังคับคดีหรือ AMC มักมีราคาต่ำกว่าโครงการใหม่ประมาณ 20–40% แต่ก็แลกมากับความเสี่ยง เช่น สภาพบ้านที่ทรุดโทรม เอกสารซับซ้อน และขั้นตอนประมูลที่ต้องเข้าใจกฎหมายอย่างรอบคอบ กลุ่มนักลงทุนที่ชำนาญจะรู้ว่า หากซื้อได้ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา เมื่อดีมานด์กลับมา ราคาทรัพย์เหล่านี้จะฟื้นตัวเร็วกว่าอสังหาฯ ทั่วไป
อีกมุมสำคัญของความเปลี่ยนแปลงในตลาด คือการที่ “บ้านมือหนึ่ง” ถูกท้าทายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในกรุงเทพฯ–ปริมณฑล ซึ่งมีราคาพุ่งสูงตามต้นทุนที่ดินและวัสดุก่อสร้าง ทำให้ผู้ซื้อจำนวนมากหันมอง “บ้านมือสอง” เป็นตัวเลือกหลักแทน
สุรเชษฐมองว่า หากรายได้ประชาชนยังไม่ฟื้นทันกับค่าครองชีพ การเพิ่มขึ้นของทรัพย์หลุดจำนองจะยังดำเนินต่อไป และตลาดบ้านมือสองจะยิ่งเติบโต เพราะตอบโจทย์ราคาและขนาดพื้นที่ได้ดีกว่าโครงการใหม่
อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อบ้านมือสองต้องเตรียมตัวอย่างรอบคอบมากกว่าการซื้อบ้านใหม่ เช่น ตรวจสอบสภาพบ้านด้วยตัวเอง ตรวจเอกสารสิทธิ ตรวจภาระผูกพันกับบุคคลที่ยังอาศัยอยู่ เตรียมเงินก้อนสำหรับการประมูล รวมถึงตรวจคุณสมบัติขอสินเชื่อกับธนาคารให้พร้อม
ตัวเลขทรัพย์ในมือกรมบังคับคดีที่เพิ่มมากกว่า 210% คือภาพสะท้อนเศรษฐกิจจริงของครัวเรือนไทยที่กำลังถูกบีบจากหนี้สิน ในอีกด้านหนึ่งนี่คือ “จังหวะทอง” ของผู้ต้องการที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาและนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังระวังตัว
ตลาดบ้านมือสองวันนี้จึงมีสองด้านที่ต้องมองควบคู่กัน ด้านหนึ่งคือภาวะยากลำบากของเจ้าของบ้านเดิม แต่อีกด้านคือโอกาสของผู้เริ่มต้นใหม่ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนสถานการณ์ของตลาดอสังหาฯ แต่ยังบ่งบอกชัดว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมีเส้นเปราะบางที่ต้องเฝ้าระวัง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com